ความสำคัญของสถิติกับงานวิจัย

สถิติศาสตร์ที่เปรียบเสมือนเครื่องมือสำคัญและมีความจำเป็นในการศึกษาวิจัยเกือบทุกศาสตร์ โดยเฉพาะศาสตร์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเลข หรือข้อมูล เริ่มตั้งแต่การดำเนินชีวิตไปจนถึงการปฏิบัติงาน ดังนั้นหลักการและขั้นตอนการดำเนินงานทางด้านสถิติจึงถูกนำมาประยุกต์ใช้ทั้งในชีวิตประจำวัน ตลอดจนแขนงสาขาวิชาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ แม่ค้า นักวิชาการ และอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาชีพที่เกี่ยวกับทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพ การดำเนินชีวิตของมนุษย์

ดังนั้นสถิติ จึงถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำวิจัย คำถามที่พบบ่อยมากที่สุดคือ สถิติเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ยากแก่การเข้าใจ และยากแก่การใช้งาน การทำวิจัยก็ยุ่งยากซับซ้อน ทำไมต้องเพิ่มความยากเข้าไปในการทำวิจัย สถิติสำคัญอย่างไรต่อการทำวิจัย การทำงานวิจัยไม่จำเป็นต้องใช้สถิติได้หรือไม่ คำถามเหล่านี้ถูกถามบ่อยครั้ง บางคำถามอาจจะได้รับการตอบ แต่บางคำถามอาจจะยังไม่ได้รับการตอบ

ความหมายของสถิติ

สถิติ มีความหมาย 2 แง่มุม แง่มุมแรกคือ ข้อมูลสถิติ หมายถึง ข้อมูลหรือตัวเลขที่ได้จากการประมวลหรือวิเคราะห์กลุ่มข้อมูลทั้งหมด เพื่อจะใช้แสดงลักษณะของกลุ่มข้อมูลนั้นๆ

อีกแง่มุมคือ สถิติศาสตร์ ซึ่งหมายถึงศาสตร์ที่เกี่ยวกับการจัดกระทำต่างๆเกี่ยวกับข้อมูล เพื่อให้สามารถบรรยายลักษณะของสิ่งที่ศึกษาได้อย่างเที่ยงตรงและเชื่อถือได้ สำหรับผู้ที่ปฏิบัติงานทางด้านสถิติ จะเรียกว่า “นักสถิติ

ความหมายของวิจัย

วิจัย มีผู้ให้ความหมายเอาไว้มากมาย แต่มีประเด็นที่มีลักษณะคล้ายกัน จึงขอสรุปความหมายของการวิจัยไว้ดังนี้ การวิจัย คือ กระบวนการในการค้นหาความรู้ ความจริง หรือปัญหาที่สนใจตามระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ภายใต้ขอบเขตที่กำหนด ซึ่งผู้ที่ดำเนินงานวิจัยจะเรียกว่า “นักวิจัย

ความสัมพันธ์ของสถิติกับการดำเนินงานวิจัยแต่ละขั้นตอน

เมื่อนักวิจัยได้ปัญหาที่จะทำวิจัยเพื่อต้องการตอบปัญหาในเรื่องนั้น ในแต่ละขั้นตอนของการดำเนินงานวิจัย จะมีสถิติเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนี้

  1. การวางแผน (Planning) ก่อนที่จะดำเนินงานวิจัย นักวิจัยจะต้องมีการวางแผนในการทำวิจัย การวางแผนที่ดี ข้อมูลที่ได้จะมีคุณภาพ ตอบคำถามได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และนำไปสู่ผลการวิจัยที่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ยังประหยัดเวลา และประหยัดทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่าย หรือแม้กระทั่งผู้ร่วมงาน ซึ่งในขั้นตอนนี้ สถิติจะถูกดึงเข้ามาเพื่อช่วยเกี่ยวกับการคำนวณวัน เวลา ค่าใช้จ่าย ผู้ร่วมงาน จำนวนข้อมูลที่ต้องการ จำนวนสิ่งของหรืออุปกรณ์ต่างๆที่จะต้องใช้ในการทำวิจัยครั้งนี้ รวมถึงการวางแผนในการใช้สถิติที่เหมาะสมในการทำวิจัยด้วย ดังนั้น สถิติจึงเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่เริ่มต้นการวิจัยจนกระทั่งสิ้นสุดการวิจัย
  2. การออกแบบ (Design) การออกแบบงานวิจัยเป็นส่วนที่จัดว่าสำคัญส่วนหนึ่งของการทำวิจัย ซึ่งถ้าการวิจัยนั้นมีการออกแบบงานวิจัยที่ดี ข้อมูลที่เก็บมาได้ก็น่าเชื่อถือและถูกต้อง การออกแบบงานวิจัยที่ดี ต้องสอดคล้องกับคำถามงานวิจัย เกณฑ์ การเลือกกลุ่มประชากรชัดเจน จำนวนตัวอย่างเพียงพอ เช่น ต้องการศึกษาจำนวนหญิงกลุ่มอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปที่เข้ามา ตรวจ Pap smear เพื่อค้นหามะเร็งปากมดลูกในจังหวัดอุบลราชธานี การออกแบบงานวิจัยในเรื่องนี้ จะกำหนดให้กลุ่มประชากรคือหญิงในจังหวัดอุบลราชธานีที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป กลุ่มตัวอย่างที่ต้องคำนวณจะใช้สูตรอะไรจึงจะเพียงพอในการตอบคำถามงานวิจัยนี้ และเลือกกลุ่มตัวอย่างอย่างไร สถิติถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องในส่วนของการหาขนาดตัวอย่าง วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ดังนั้นการออกแบบงานวิจัยจึงต้องมีสถิติเข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยเหลือเพื่อให้การออกแบบงานวิจัยนั้นสอดคล้องกับคำถามงานวิจัย งานวิจัยนั้นจึงจะได้คุณภาพและมีคุณค่า
  3. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) ในขั้นตอนนี้สถิติจะเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องการกำหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่จะนำมาซึ่งข้อมูลที่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร และจำนวนข้อมูลถูกต้องครบถ้วน เช่น วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจะใช้การสุ่มแบบธรรมดา หรือสุ่มอย่างมีระบบ หรือวิธีการอื่นๆ ที่เหมาะสมกับกลุ่มประชากรที่ต้องการศึกษา และเป็นตัวแทนที่สามารถตอบคำถามงานวิจัยนั้นได้
  4. กระบวนการจัดการข้อมูล (Data Processing) ในการจัดการข้อมูลสถิติจะเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก เพราะการจัดการข้อมูลคือการจัดเก็บข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมให้อยู่ในหมวดหมู่ที่สะดวก เข้าใจได้ง่ายและนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล การบันทึกข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ เช่น EpiDATA, Excel หรือ SPSS ซึ่งข้อมูลที่จัดเก็บจะมีการจัดหมวดหมู่ในแต่ละตัวแปร เช่น เพศ กลุ่มอายุ ฯลฯ การตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ข้อมูลมีคุณภาพสามารถนำเข้าสู่ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไปได้ กระบวนการจัดการข้อมูลเป็นกระบวนการทางสถิติที่เกี่ยวกับข้อมูล ดังนั้น หากข้อมูลที่ได้ไม่มีคุณภาพไม่ถูกต้อง การเลือกใช้สถิติใดๆ ก็ไม่สามารถทำให้งานวิจัยนั้นถูกต้องได้ และยังส่งผลต่อการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย
  5. การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) ขั้นตอนนี้ ใช้สถิติเข้ามาเป็นเครื่องมือหลัก เพราะข้อมูลที่ผ่านกระบวนการจัดการข้อมูลแล้ว จะต้องพิจารณาเลือกสถิติที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวม เพื่อตอบคำถามงานวิจัย หากข้อมูลที่ได้มีความถูกต้องมีคุณภาพแต่เลือกสถิติที่จะใช้กับการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมจะส่งผลให้งานวิจัยนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ และทำให้ความน่าเชื่อถือของนักวิจัยนั้นลดลงด้วย ซึ่งในการเลือกสถิติที่เหมาะสมกับการวิเคราะห์ข้อมูลต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์การวิจัย ตัวแปรที่ต้องการศึกษา (ตัวแปรผล) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย และความเป็นอิสระของกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาวิจัย ดังนั้นก่อนวิเคราะห์ข้อมูลควรมีการวางแผนการวิเคราะห์ข้อมูล และเลือกสถิติให้เหมาะสมกับงานวิจัยนั้น เพื่อให้ได้งานวิจัยที่มีคุณภาพ
  6. การนำเสนอ (Presentation) การนำเสนอข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูล อาจจะอยู่ในรูปของการบรรยาย ตาราง กราฟ มีการจัดหมวดหมู่ของตัวเลขข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย นั่นคือการนำสถิติเข้ามาใช้ในขั้นตอนนี้ แต่ถ้าการวิเคราะห์ข้อมูลถูกต้องแต่มีการนำเสนอที่ไม่ถูกต้องอาจจะทำให้ผู้อ่านขาดข้อมูลที่ถูกต้องบางอย่างไปได้ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ เป็นที่ทราบกันดีว่า ข้อมูลที่เก็บมาได้ไม่ค่อยเป็นความจริง ข้อมูลจะเบ้มีการแจกแจงแบบไม่ปกติ ดังนั้นในการนำเสนอข้อมูล ควรเลือกสถิติที่เหมาะสมในการนำเสนอข้อมูลรายได้ ซึ่งค่ากลางของข้อมูลที่เหมาะสมของข้อมูลรายได้ คือ ค่ามัธยฐาน (Median) พร้อมทั้งนำเสนอค่าสูงสุดต่ำสุดของรายได้ประกอบ เพื่อให้ผู้อ่านได้มีข้อมูลอื่นๆ พิจารณาเพิ่มเติม
  7. การแปลผล (Interpretation) สิ่งที่สำคัญของการวิจัยคือการแปลผลการวิจัย หากการทำวิจัยที่ใช้เวลามานาน เสียค่าใช้จ่ายเสียทรัพยากรต่างๆ ไปมากมาย แต่เมื่อถึงขั้นตอนนี้ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของการทำวิจัย กลับปรากฏว่าแปลผลการวิจัยผิด นั่นหมายถึงการทำวิจัย งานวิจัยนั้นไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นสถิติจึงเข้ามาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือที่ช่วยเหลือในเรื่องของการแปลผลการวิจัยเพื่อให้งานวิจัยนั้นมีคุณค่า น่าเชื่อถือ สร้างความมั่นใจให้กับผู้อ่านมากขึ้นอีกด้วย
  8. การเผยแพร่ตีพิมพ์ (Publication) อาจกล่าวได้ว่าขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของงานวิจัย เพราะงานวิจัยเมื่อดำเนินการเสร็จเรียบร้อย ควรมีการตีพิมพ์เผยแพร่เพื่อให้ผู้อ่าน หรือผู้สนใจได้นำสิ่งที่ค้นพบใหม่ไปประยุกต์ใช้ หรือเพิ่มพูนความรู้ให้มากขึ้น ดังนั้นในการเผยแพร่ตีพิมพ์เอกสาร สถิติจึงเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัย โดยนักสถิติจะเข้ามาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการนำเสนอสถิติในการตีพิมพ์เผยแพร่ และการแนะนำการนำเสนอข้อมูลสถิติที่เหมาะสม เป็นต้น

จำเป็นหรือไม่ต้องใช้สถิติกับงานวิจัย

จากคำถามที่มีหลายคนสงสัยว่างานวิจัยทุกงานวิจัยจำเป็นต้องใช้สถิติหรือไม่ คำตอบคือ ไม่จำเป็น งานวิจัยที่เหมาะสม หรือจำเป็นที่จะต้องมีการใช้สถิติ คือ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวัดผลข้อมูลที่เป็นตัวเลข แต่สำหรับงานวิจัยที่อยู่ในรูปของการพรรณนาลักษณะความคิด พฤติกรรม สังคม วัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ การวิจัยเกี่ยวกับพืชพันธุ์ไม้ สมุนไพร หรือแม้กระทั่งงานวิจัยทางด้านปฏิบัติการที่ต้องการบรรยายสิ่งที่พบจากการทดลองในรูปแบบของตัวอักษร เป็นต้น ซึ่งงานวิจัยดังที่กล่าวโดยส่วนใหญ่จะเป็นงานวิจัยด้านมานุษยวิทยา สังคมศาสตร์ พฤกษศาสตร์ ฯลฯไม่มีตัวเลขข้อมูลเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่เหมาะหรือไม่จำเป็นที่จะต้องมีการใช้สถิติหรือการวิเคราะห์สถิติเข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้

ความสำคัญของสถิติกับงานวิจัย

จากความสัมพันธ์ของสถิติในแต่ละขั้นตอนการดำเนินงานวิจัย จะพบว่า สถิติกลายเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เริ่มดำเนินงานวิจัยจนกระทั่งสิ้นสุดงานวิจัย จะเห็นได้ว่า สถิติและงานวิจัยมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันจนไม่สามารถแยกกันได้ และความสัมพันธ์นั้นนำไปสู่ความสำคัญ ดังนี้

  1. ผู้อ่านงานวิจัยเข้าใจงานวิจัยได้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง เนื่องจากข้อมูลที่รวบรวมมาจากการวิจัยมีตัวเลขจำนวนมาก การนำสถิติมาจัดตัวเลขเหล่านั้นให้เป็นระเบียบ จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายถูกต้อง เป็นจริงในเวลาอันรวดเร็ว และสามารถนำไปประกอบการปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องอีกด้วย
  2. ประเมินคุณภาพงานวิจัย เพราะการทำงานวิจัยเป็นการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาข้อสงสัยด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ข้อมูลที่รวบรวมมาได้ เมื่อนำมาผ่านกระบวนการทางสถิติก็จะทำให้นักวิจัยมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ ซึ่งทำให้ผู้อ่านเกิดความมั่นใจ และเชื่อมั่นในงานวิจัยนั้น ซึ่งนำไปสู่การประเมินคุณภาพของงานวิจัยที่ได้ว่ามีความน่าเชื่อถือ ถูกต้องเที่ยงตรง หรือเป็นงานวิจัยที่ไม่มีคุณภาพ
  3. ประกอบการตัดสินใจ งานวิจัยที่มีการใช้สถิติเข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยในการสรุปผลการวิจัย หากงานวิจัยนั้นใช้สถิติได้ถูกต้องและเหมาะสมคุณภาพของงานวิจัยนั้นจะถูกประเมินว่ามีคุณภาพดีและผลการวิจัยนั้นจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพิจารณาเพื่อประกอบการตัดสินใจในเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งในเรื่องของการกำหนดนโยบายและการวางแผนงานต่างๆ ด้วย เช่น การวางแผนการให้สุขศึกษาและสอนวิธีการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเองให้แก่สตรีที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไปในสถานบริการสุขภาพ เพราะจากการวิจัยและใช้สถิติเข้ามาช่วยประกอบการพิจารณาแล้วพบว่า สตรีในวัยดังกล่าวเริ่มป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม และไม่มีความรู้ในเรื่องการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการวิจัย การกำหนดนโยบายจึงต้องอาศัยข้อมูลที่ได้จากการวิจัยโดยผ่านกระบวนการทางสถิติแล้วประกอบการตัดสินใจ

ดังนั้นในการทำวิจัยจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้วิจัยต้องมีความรู้เรื่องสถิติด้วย ถ้าผู้วิจัยไม่มีความรู้เรื่องสถิติ ก็อาจจะขอความช่วยเหลือจากนักสถิติได้

สถิติเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่งสำหรับการทำวิจัย ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นถึงแม้ว่าสถิติจะยุ่งยาก สับสน เพียงใด แต่เพื่อให้งานวิจัยที่ทำเกิดความถูกต้อง เที่ยงตรง เชื่อถือได้และยังเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับงานวิจัยนั้น ดังนั้นนักวิจัยจึงต้องเลือกใช้สถิติในงานวิจัยนั้นให้เหมาะสมสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ตัวแปร กลุ่มตัวอย่าง และรูปแบบของงานวิจัย เพื่อให้งานวิจัยที่ตั้งใจศึกษา ได้ผลการวิจัยที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และบุคคลอื่นที่สนใจสามารถนำผลการวิจัยนั้นไปประยุกต์ใช้ต่อได้อย่างมั่นใจ ดังนั้นงานวิจัยจะดีหรือไม่ดีจึงขึ้นอยู่กับการเลือกใช้สถิติที่เหมาะสม ถ้าเลือกใช้สถิติถูกต้อง งานวิจัยมีคุณภาพ แต่ถ้าเลือกสถิติผิดงานวิจัยนั้นอาจจะด้อยคุณค่า และยังลดความน่าเชื่อถือของนักวิจัยด้วย

ฉะนั้น นักวิจัยที่ดีจึงต้องมีอาวุธที่ดีคือความรู้ทางด้านสถิติหรือผู้ช่วยทางสถิติที่ดีด้วย เพื่อให้งานวิจัยนั้นมีคุณค่าน่าเชื่อถือ

References

natnichamen. (May, 23 2014). สถิติ…ตอนที่ 2: ความสำคัญของสถิติกับงานวิจัย. http://www.vcharkarn.com/lesson/1629

แค่ครูสอนคณิตศาสตร์คนหนึ่งที่ใช้ออกซิเจนในการหายใจ